IBAAMANG

8 ตัวละคร นักสู้ฝั่งมนุษยชาติ มหาศึกคนชนเทพ 【 Record of Ragnarok 】

8 ตัวละคร นักสู้ฝั่งมนุษยชาติ มหาศึกคนชนเทพ 【 Record of Ragnarok 】

ประวัติอันยาวนานของมนุษย์ชาติกำลังจะจบลง เมื่อเหล่าทวยเทพ ผู้ที่สร้างสรรมวลมนุษยชาติขึ้นมา มีประสงค์ให้มนุษย์ถูกล้างบาง และจะต้องสูญสิ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ไม่เหลือแม้กระทั้งร่องรอยทางประวัติศาสตร์ จนกระทั้ง “บรุนฮิลล์” 1ใน 13 วัลคีรี่ ได้ขอให้มีการพิสูจน์คุณค่าของมนุษย์ โดยจัดศึก “แร็คนาร็อค” ให้มีการประลองตัวต่อตัวระหว่างมนุษย์ 13 คน กับทวยเทพ 13 องค์ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะถึง 7 ครั้งก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะไป ถ้ามนุษย์ชนะก็จะหลีกเลี่ยงการสูญสิ้นซึ่งเผ่าพันธ์ แต่ถ้าเทพชนะมติที่จะล้างบางมนุษย์ก็จะเป็นจริง การต่อสู้ของเหล่ามนุษย์กับทวยเทพจึงเริ่มต้นขึ้น

นิโคล่า เทสลา

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ นิโคล่า เทสลา

“นิโคล่า เทสลา” เหล่าผู้คนขนานนามเขาว่า “พ่อมดแห่งยุค” ร่วมสู้ศึกแร็คนาร็อคในรอบที่ 8 คู่ต่อสู้คือ “เบลเซบับ” เทสลา ด้วยความที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาจึงเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด เขาไม่เห็นด้วยกับการทำลายล้างมนุษย์ การสร้างสรรค์ต่างหากที่ถูกต้อง จึงยอมร่วมลงมือสู้ศึกครั้งนี้ด้วย

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในอดีต เทสลา ได้อาศัยอยู่กับครอบครัว ในหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีเด็กอัจฉริยะอยู่นั้นก็คือพี่ชายของเขานั้นเอง คอยสร้างสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้ และสิ่งสุดท้ายที่พี่ทำไว้คือ กังหันลม แต่ด้วยพายุที่พัดกระหน่ำจนทำให้พี่ชายที่กังวน จึงแอบไปดูการสร้างกังหันลมเลยเจออุบัติเหตุฟ้าผ่าจนเสียชีวิต หลังการตายของพี่ชาย เทสลา จึงพยายามทำงานต่อจากพี่ชาย และพัฒนาไปความรู้ความสามารถจนเป็น “พ่อมดแห่งยุค”

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในการต่อสู้พลังของวิทยาศาสตร์นั้นสุดยอดมากทั้งคุกขังเทพ พลังการลอยตัว และเทสลาวาร์ป พลังทั้งหมดนั้นก่อเกิดมาจาก ‘ขดลวดเทสลา’ นั้นเอง การต่อสู้ดำเนินไป แม้ตัวของเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ไม่เคยลดละ จนสุดท้าย ‘ขดลวดเทสลา’ และพละกำลังก็ถึงขีดจำกัดทำให้ต้องผ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ไป

จิ๋นซีฮ่องเต้

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ จิ๋นซีฮ่องเต้ ตามมังงะ

จิ๋นซีฮ่องเต้ มีนิสัยทะนงตน ไม่ฟังใคร เอาแต่ใจ และหลงทางเก่งเลยทำให้ จิ๋นซี เดินทะลุไปยังฝั่งที่นั่งของเทพ แล้วล้มเทพเอเรสอย่างง่ายดายได้ถึง 2 ครั้ง พวก บรุนฮิลล์ มาตามก็ไม่ยอมกลับ ด้วยความที่ชอบที่โซฟาที่นั่ง แถมที่นี่มีของสนุกๆจึงไม่ยอมไปไหน จนเวลาเข้าร่วมประลอง จิ๋นซี ก็เดินลงไปผ่านทางเดินที่จักรพรรดิองค์ก่อนๆช่วยกันปูทางให้เดินข้ามหัวเทพที่นั่งในสนามลงไปยังลานประลอง

จิ๋นซี รับการโจมตีอันหนักหน่วงของ ฮาเดส แล้วรีเวิร์สกลับไปทำให้ ฮาเดส ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งกว่าฮาเดส จะรู้ตัวว่า จิ๋นซี ที่มองเห็นพลัง “จุดไหลเวียนของพลังซี่” ได้ทำการเป่าลมเพื่อสกัดจุดพลัง แต่พลังที่ยิ่งใหญ่มักจะต้องสูญเสียบางสิ่งไปด้วยเหมือนกัน เพราะการโจมตีที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์ที่ท้องของ ฮาเดส ก็เกิดกับ จิ๋นซี ด้วยเหมือนกัน

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

นั้นคือ คำสาป “มิลเลอร์ ทัช ซินเนสทีเซีย” ที่ถ้าเห็นคนบาดเจ็บ หรือได้รับความเกลียดชังสิ่งเหล่านั้นจะย้อนกลับมาสร้างรอยแผลบนร่างกายของ จิ๋นซี ทุกครั้งที่เกิดบาดแผลตั้งแต่ยังวัยเยาว เขาก็ไม่เคยร้อง กลับยิ้มเพื่อบรรเทาความเกลียดชังในใจ

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในการต่อสู้ด้วยวรยุทธที่ก่อรูปเทพศาสตรา และอีกหนึ่งเหตุผลที่ จิ๋นซี สามารถสู้ได้ เพราะจิตวิญญาณของ จิ๋นซี นั้นเกินลิมิตพร้อมเอาตัวเข้าแลกจึงสามารถต่อกรกับ ฮาเดส ได้ แม้ ฮาเดส จะมีทั้งพลัง ความเร็ว และประสบการณ์ออกรบที่มากกว่าก็ตาม

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

จิ๋นซี เดิมพันทุกอย่างกับการโจมตีครั้งต่อไป โดย อัลวิทร์ ได้มอบพลังทั้งหมดให้ทำให้ก่อรูปเทพศาสตรา “ดาบจักรพรรดิโกวเจี้ยน” เพราะอัตลักษณ์คือ ผู้พิทัก การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การโจมตี ทั้ง จิ๋นซี แบะ ฮาเดส ซึ่งแบกรับความภาคภูมิใจ คำมั่นสัญญา และความเจ็บปวดต้องต่อสู้เพื่อปกป้องเหล่าผู้คนที่อยู่ข้างหลัง มีเพียงหัวใจของผู้ที่เป็นราชาเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เดิมพันทุกอย่างทำให้สุดท้าย จิ๋นซี ก็สามารถชนะ ฮาเดส ได้

ศากยมุณี หรือ บุดด้า

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ ศากยมุณี หรือ บุดด้า ตามมังงะ

ศากยมุณี หรือ บุดด้า ตัวแทนจากฝ่ายมนุษย์ความจริงแล้วเขาเป็นตัวแทนจากฝ่ายเทพเจ้า ซุส ตั้งใจให้ลงแข่ง แต่ตัว บุดด้า เลือกที่จะช่วยเหลือมนุษย์แล้วทรยศฝั่งเทพ ทั้งยังเป็นคนบอก บรุนฮิลล์ ถึงวิธีที่จะทำให้วัลคีรี่แปรงร่างเป็นโวลุนที่สามารถทำให้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ เรียกว่า “ผูกชะตาร่วมวิญญาณ”

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในอดีตชาติก่อน บุดด้า เกิดมาเป็นเจ้าชายวงศ์ศากยะ ชื่อ สิทธัตถะ เป็นวรรณพราหมณ์ มีครบทั้งชุด อาหาร พระราชวังไว้หลับนอนไม่เคยขาดแคลน จนกระทั่งไปเยี่ยม พี่ชาทกะ ราชาแห่งมัลละ ที่กำลังป่วยด้วยโรคร้าย

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

พอน้องชายอย่าง สิทธัตถะ มาเยี่ยมจึงได้ฝืนร่างกายเพื่อมาเดินเล่น สิทธัตถะ เล่าว่าอีกไม่นานจะได้เป็นกษัตริย์แห่งวงศ์ศากยะ จะทำให้ประชาชนมีความสุข แต่พี่ชาทกะ กลับคิดว่านั้นคือความสุขหรือไม่ ตัวเขาเองไม่เคยมีความสุขเลย ไม่นานก็จะตายเพราะโรคร้าย ชีวิตนี้เป็นของใครกัน อยู่เพื่อประชาชน ทุกอย่างที่ข้ามีข้าไม่ได้เลือกเลือก สุดท้ายกษัตริย์แห่งมัลกะก็จากไป การพูดคุยครั้งนั้นทำให้ บุดด้า หรือ สิทธัตถะ ตาสว่างจนตรัสรู้ จึงออกเดินทางเพื่อต่อสู้กับโชคชะตาที่คนอื่นกำหนดให้จน

ในการต่อสู้คู่ต่อสู้ของ บุดด้า กับ ซีโร่ฟุคุ ที่เป็นร่างรวมก่อนที่จะแยกเป็น “เจ็ดเทพแห่งโชคลาถ”
ในการต่อสู้ ซีโร่ฟุคุ ที่แม้จะโจมตีใส่ บุดด้า ยังไงก็ไม่โดน เพราะ บุดด้า มีพลังที่มองเห็นอนาคตได้ พลังหยั่งรู้ของผู้ที่ตรัสรู้แล้วเท่านั้นถึงจะมี “ผู้หยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง สัมผัสที่8”

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ระหว่างต่อสู้ บุดด้า ได้สอนใน ซีโร่ รักตัวเอง ทำให้ ซีโร่ เริ่มเข้าใจว่าที่ผ่านมาต้องการแค่ไล่ตามบุดด้า เลียนแบบบุดด้า เป็นครั้งแรกที่ ซีโร่ รู้สึกเติมเต็ม และสุดท้าย บุดด้า ก็ล้ม ซีโร่ ลงได้ แต่นั้นมันยังไม่จบ มีอะไรแปลกๆ ซีโร่ ได้เปลี่ยนไปเป็นพญามารแห่งสวรรค์ชั้นหก “ฮาจุน” ที่แม้แต่เทพแห่งเฮลไฮม์ยังไม่เคยเจอ เพราะ เบลเซบับ เล่นสนุกได้ใส่ปรสิตไว้ในตัวของ ซีโร่ ตั้งแต่วัยเยาวก่อนที่ ซีโร่ ไปจุติที่โลกมนุษย์

การต่อสู้ก็ได้เริ่มต่อทำให้ บุดด้า รับภาระหนัก เพราะดวงตานี้มองอนาคตไม่ออกอีกแล้ว ดวงวิญญาณของ ฮาจุน มืดมิดไร้ซึ่งแสงธรรม ฮาจุน กระหน่ำโจมตีใน ตอนที่ บุดด้า กำลังจะจนมุมได้หยิบอาวุธของ ซีโร่ ขึ้นมา แล้วผูกชะตาร่วมวิญญาณก่อรูปเทพศาสตราโวลุนด์เป็น “ดาบมหานิรวาณ” ด้วยความไม่ยอมแพ้ และใจสู้ทำให้ ฮาจุน เริ่มเกิดความกลัวในใจ ทำให้ บุดด้า อ่านการโจมตี และได้ใช้ดาบมหานิรวาณ สังหาร ฮาจุน ลงได้ ทำให้ ฮาจุน ซีโร่ และเทพแห่งความมั่งคั่งทั้งเจ็ดได้ดับสูญไปพร้อมๆกัน ทำให้ชัยชนะครั้งที่ 3 ตกมาเป็นของฝั่งของมนุษย์

ไรเดน ทาเมเอมอน

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ ไรเดน ทาเมเอมอน ตามมังงะ

ไรเดน ทาเมเอมอน นักซูโม่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในเดือนมกราคม ปี 1767 หมู่บ้านโออิชิ อำเภอชิซางาตะ ที่แคว้นชินาโนะ ครอบครัวชาวนา ฮัน เอมอน ผู้เป็นพ่อ กับ เค็น ภรรยา กำลังกังวลที่ว่าบุตรของพวกเขา ไรเดน แม้จะอายุ 2 ขวบ 8 เดือนก็ยังไม่สามารถเดินได้ แต่ทว่า 1 สัปดาห์ให้หลังก็สามารถลุกยืนได้ ขา แขน และซี่โครงของไรเดน ก็หักจากกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเกินไปจนจะบดร่างให้แหลกสลายได้ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ร่างกายสามารถยับยั้งการสร้างกล้ามเนื้อที่เรียกว่า “ร้อยผนึก”

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในตอนเด็กๆเขานั้นไม่มีเพื่อน เนื่องจากพละกำลังที่มหาศาล ทำให้ไม่มีเด็กคนไหนอยากเล่นด้วย แต่ด้วยคำสอนของแม่ที่ว่า “จงใช้พลังเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น” ไรเดน ก็ได้ปฏิบัติตามเรื่อยมา จนในปีเท็มเมที่ 3 เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ อาซาเมะ จนทำให้หมู่บ้านแห้งแร้ง ขาดแคลนอาหาร ไรเดน จึงออกเดินทางเพื่อนำพลังของตนมาช่วยเหลือหมู่บ้าน ในวัย 17 ปี เดินทางมาถึงเมืองเอโดะ เพื่อที่จะหาเงินไปช่วยหมู่บ้าน ไรเดน ได้เข้าไปที่สำนักซูโม่ อุราคาเสะ จนได้ไปเจอกับ ทานิคาเสะ คาจิโนสุเกะ ที่เป็นคนสั่งสอนวิชาซูโม่ให้ ไรเดน

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

จน ไรเดน ได้กลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิต ได้รับตำแหน่ง โอเซกิ ตลอดเวลา 21 ปี แข่ง258 ชนะ 254 แพ้ 10 ไม่ตัดสิน 14 เสมอ 2 ยกเลิกตัดสิน 5 สาเหตุที่แพ้กับเสมอ เพราะคู่ต่อสู้อ่อนแอกว่าจนไม่กล้าลงมือต่อสู้ จนวันสุดท้ายของการแข่ง ไรเดน ก็ไม่เคยใช้พลังที่แท้จริงอีกเลย

ในการต่อสู้กับ ศิวะ ตัวของ ไรเดน ไม่สามารถสู้ด้วยกำลังธรรมดาได้ จึงจำเป็นต้อง “ปลดผนึก”ทำให้กล้ามเนื้อมหาศาลจะระเบิดออกมา แต่ ทรูด วัลคีรี่ ได้ใช้อัตลักษณ์ความแข็งแกร่ง ตรึงกล้ามเนื้อนั้นไว้ ทำให้ ไรเดน ที่ไม่เคยควบคุมกล้ามเนื้อได้ สามารถควบคุมได้อย่างใจนึก ทำให้สามารถใช้พลังที่แท้จริงของตัวเองได้

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ไรเดน ยอมใช้ท่าพื้นฐานทั้ง 4 ของซูโม่ที่ตัวเองถนัดที่สุดออกมาใช้ จนสามารถทำให้ ศิวะ ที่ตั้งรับถึงกลับต้องเสียแขนทั้งสองข้างไป แต่กระนั้น ศิวะ ก็ไม่ยอมแพ้ ทั้งเทพ และมนุษย์ที่อยู่จุดสูงสุดของในวิถีแห่งตนได้เข้าต่อสู้เพื่อเดิมพันในครั้งสุดท้าย ไรเดน ที่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้จนไม่เหลือแรงแล้วสุดท้าย ไรเดน ก็แพ้ไป โดยที่แม้กระทั่งเข่าเขาก็ไม่ยอมให้แตะพื้น

แจ็คเดอะริปเปอร์

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ แจ็คเดอะริปเปอร์ ตามมังงะ

แจ็คเดอะริปเปอร์ ณ วันที่ 31 ส.ค. คศ.1888 ปลายศตวรรษที่ 19 ได้ปรากฏตัวขึ้น เร้นกายในเงามืด โสเภณีอย่างน้อย 5 คนถูกฆาตกรรมอย่างสยดสยอง มอบความหวาดกลัวไปทั่วลอนดอน

แจ็ค ปะทะ เฮอร์คิวลิส เป็นการปะทะระหว่างความยุติธรรม และความชั่วร้าย แจ็ค แม้โอกาศชนะจะริบหรี่ก็ไม่สามารถปฏิเสธการดวลได้ พายุคมมีดโหมกระหน่ำไม่หยุดยั้ง เฮอร์คิวลิส ที่ไม่สามารถใช้การโจมตีแบบธรรมดาจึงต้องใช้ “แอร์กูลเอ็กโซตัส” การต่อสู้ดำเนินมาเรื่อยๆ ขณะที่ต่อสู้ดวงตาข้างขวาของ แจ๊ค ลูกหลงการโจมตีเปิดออก ทำให้เห็นสีจากตัวของ เฮอร์คิวลิส เป็นสีที่สว่าง สดใส ทำให้เขานึกย้อนไปสมัย 12 ขวบ เพราะต้องเอาตัวรอดให้สภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ทำให้ดวงตาของเด็กหนุ่มเห็นอารมณ์ความรู้สึกของคนเป็นสีต่างๆได้โดยไม่รู้ตัว

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

แจ็ค ชอบสีของแม่ตัวเองที่สุด แต่สุดท้ายหลังถูกชายหนุ่มที่เคยมาเที่ยวในซ่องผิดคำสัญญาว่าจะมารับ ถ้าประสบความสำเร็จกลับไปมีหญิงอื่นจึงคลุ่มคลั่งทำร้าย แจ๊ค ทำให้สีที่ แจ๊ค เห็นตอนนั้นก็เป็นสีที่มัวหมอง จนไม่อาจทำใจได้ที่จะเห็นแม่ผู้เป็นที่รักเปลี่ยนไปจึงฆ่าแม่แท้ๆของตัวเองเพื่อให้แม่ถูกย้อมด้วยสีอื่น สีที่แจ๊คไม่เคยเห็น สีแห่งความกลัว

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

แจ็ค จึงหวังที่จะเห็นสีแห่งความกลัวจาก เฮอร์คิวลิส และความจริงก็ปรากฏในระหว่างที่ต่อสู้ แจ็ค ได้ขว้างหน้าปัดนาฬิกาใส่ร่าง เฮราเครส หรือเฮอร์คิวลิส จนแขนขาด และนั้นทำให้รู้ว่าโวลุนที่แท้จริงก็คือ ถุงมือ ที่เมื่อสัมผัสอะไรก็จะกลายเป็นเทพศาสตรา เจ้าของคือ “ฮเลิกก์” น้องลำดับคนที่11 ของวัลคีรี่ อัตลักษณ์คือ “ผู้ทำให้อาวุธส่งเสียง” ดังนั้นสนามการต่อสู้ในครั้งนี้ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นเมืองลอนดอนจะกลายเป็นอาวุธของแจ๊คทั้งหมด

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

เฮราเคส จึงต้องยอมใช้กระบวนท่าที่ 12 ทวารบาลแห่งนรกเซอร์บิรัส ที่กระบวนท่าที่จะไม่สิ้นสุดจนกว่าจะฝังศัตรูได้ หรือใช้พลังชีวิตจนหมด การต่อสู้ยื้ดเยื้อจนสุดท้าย แจ๊ค ใช้เลือดของตัวเองเป็นเทพศาสตราแทงทะลุร่าง เฮราเครส จนหมดลมหายใจดับสูญไป แต่ถึงกระนั้นสีอารมณ์ความรู้สึกของ เฮราเครส ก็ไม่เปลี่ยนไปยังเป็นสีแห่งความรักที่มีให้แก่มนุษย์อยู่ดี นี่จึงกลายมาเป็นชัยชนะที่ 2 ของมนุษยชาติทำให้ตีขึ้นมาเสมอกับทวยเทพได้

ซาซากิ โคจิโร่

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ ซาซากิ โคจิโร่ ตามมังงะ

โคจิโร่ ได้อาสาไปเอง พอ โคจิโร่ ก้าวมาอยู่ในสนาม เสียงฝั่งมนุษย์ที่ไม่มีใครยอมรับ เพราะ โคจิโร่ นั้นเคยพ่ายแพ้ให้แก่ “มิยาโมโต้ มุซาชิ” แต่เพียงแค่ชักดาบ “โมโนโฮชิซาโอ” คลื่นลมในสนามก็สงบขึ้นมา จน มุซาชิ ยังต้องหลั่งน้ำตา เพราะนั้นคือการตรัสรู้อย่างหนึ่งของดาบ ยอมรับว่านี่แหละผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า และจากการตายของ โคจิโร่ แม้จะตายไปเมื่อ 400 ปี เขาเฝ้าฝึกฝนไม่หยุดหย่อนเพื่อไปสู่แก่นแท้ของวิชาดาบ

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในอดีตปลายยุคสมัยเซ็งโงกุ เมืองปราสาท อิชิโจดานิ แคว้น เอจิเซ็น ในโรงฝึกอันเลื่องชื่อ โทดะ เซย์เก็น ตัว โคจิโร่ นั้นไม่ต่างไปจากภาระ โทดะ ต้องการฝึกดาบ และสั่งสอนให้ แต่สุดท้าย โคจิโร่ ก็ได้ขอยอมแพ้ เมื่อพอรู้ว่าจะแพ้ก็จะยอมซะง่ายๆ จนโดนไล่ออกมาจากโรงฝึก
ดังนั้นวิธีดาบของ โคจิโร่ เลยได้อิทธิพลจากธรรมชาติ แต่ทุกๆครั้งก็จะกลับไปที่โรงฝึกเพื่อท้าดวลอยู่เสมอ เมื่อแพ้กลับมาก็จะฝึกแล้วกลับไปใหม่ จนสุดท้ายได้ก้าวข้ามทุกคนในสำนักไปแล้ว จึงออกผเนจรไปท้าดวลตามโรงฝึกต่างๆเพิ่มสถิติการผ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งในการผ่ายแพ้ โคจิโร่ ก็จะแข็งแกร่งขึ้น แล้วก้าวข้ามคู่ต่อสู้ทุกคน

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในที่สุดการดวลก็เริ่มต้นขึ้น แต่ทำไมถึงไม่มีใครขยับอะไรเลย แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้ตัวว่าวินาทีที่เริ่ม โคจิโร่ นั้นก็ได้ตายไปแล้วถึง 18 รอบ สุดท้าย โคจิโร่ ก็เริ่มเป็นฝ่ายบุก แต่ โพไซดอน ก็หลบได้อย่างง่ายดาย การต่อสู้ดำเนินต่อไปตรีศูลของ โพไซดอน สร้างบาดแผลให้กับ โคจิโร่ มากมาย และดาบโมโนโฮชิซาโอ ก็ถูกทำลายลง ในตอนที่ทุกคนที่ว่าถึงจุดจบ โคจิโร่ ก็นำดาบที่หักทั้งสองมา “รีโวลุนถ์” ซึ่งเป็นความสามารถของ ฮริสต์ วัลคีรี่ลำดับที่ 2 ที่สั่นเทิ้มด้วยความกลัว และสั่นเทิ้มด้วยโทสะ อัตลักษณ์สองตัวตนในร่างเดียว

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ด้วยดาบคู่นี้ โคจิโร่ ได้ประยุกต์เข้ากับวิชาสำนักต่างๆที่เคยสู้มาจนสามารถสร้างบาดแผลทั่วร่างให้กับ โพไซดอน ทำให้ โคจิโร่ บรรลุไปอีกขั้นจนสามารใช้ “พันดาบนางแอ่นหวนกลับ” จนสามารถฟันแขนทั้งสองข้าง และลำตัวจนขาดสะบั่น พลิกกลับมาชนะจนได้กลายเป็นชัยชนะแรกของมนุษยชาติ

อดัม

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ อดัม ตามมังงะ

อดัม ตัวแทนคนที่สองของมนุษยชาติ ในการต่อสู้อาวุธที่ อดัม ได้ จากได้วัลคีรี่ลำดับ 7 “เรจินไรฟ์” ได้โวลุนถ์เป็นสนับมือ หมัดต่อหมัดกับเทพเจ้าอย่างสมชายชาตรี ซุส เปิดการโจมตีด้วยหมัดที่ความเร็วมากกว่า 0.01 วินาที และเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่ อดัม กลับหลบได้ทั้งหมดแบบสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังเอาท่าทั้งหมดที่ ซุส ใช้ย้อนกลับไปโจมตีใส่ ซุส ผู้ใช้มันทำเอาบาดเจ็บสาหัส

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ทุกคนจึงตกตะลึงอย่างมากว่าไม่น่าเชื่อที่มนุษย์จะใช้ท่าของเทพได้ นั้นเพราะ อดัม มีต้นกำเนิดจากการที่เทพเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นจากการเลียนตนเอง นั้นแหละคือ พลังของ อดัม เรียกว่า “เนตรพระเจ้า” ซุส ที่จู่โจมยังไง อดัม ก็หลบแล้วเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์ทำให้เหมือนกับว่า ซุส กำลังต่อสู้กับตนเองอยู่

ที่มาของความแข็งแกร่งของ อดัม ก่อกำเนิดมาจากความเกลียดชังต่อเทพเจ้า ณ อดีตกาลได้อาศัยในสวนเอเดน อีฟ ภรรยาของ อดัม ก็ถูกตัดสินจากศาลเทพเจ้าในข้อหา “กินผลแอปเปิ้ลจากต้นไม้แห่งปัญญา” ซึ่งเทพที่ทำให้ อีฟ ตกที่นั่งลำบากก็คือ งู เขาต้องการให้ อีฟ มาเป็นของตน แต่ อีฟ ก็หนีเรื่อยมาจึงสร้างหลักฐานปลอม แม้ อีฟ จะปฏิเสธยังไงก็เหล่าทวยเทพก็ไม่รับฟัง สุดท้าย อดัม ได้สู้ และจัดการ งู ทำให้ทั้งคู่ถูกส่งลงมาที่พื้นโลก และอยู่กันอย่างมีความสุขกับครอบครัวของพวกเขา

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

การต่อสู้ยืดเยื้อจากการใช้ “กายเพชร” ของ ซุส ทำให้ อดัม ที่ใช้ “เนตรพระเจ้า” ร่างกายได้รับภาระหนัก เพราะฝืนลิมิตตัวเอง เป็นการต่อสู้ที่ใครจะถึงลิมิตก่อนกัน ซุส ที่จู่ๆก็ล้มนั่งหลุดออกจากกายเพชรทุกคนคิดว่า ซุส แพ้ แต่ความจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น อดัม ได้เสียชีวิตแล้ว ฝืนใช้พลังทั้งหมดของเขาจนวาระสุดท้าย ถึงแม้ตัวจะตายก็ยังยืนหยัดต่อสู้ต่อไปสุดท้ายร่างกายก็ได้สลายหายไปพร้อมๆกับ วัลคีรี่ ในท่ายืนที่แสนสง่า

ลิโป้

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ประวัติ ลิโป้ ตามมังงะ

“ลิโป้” (สามก๊ก) วีรชน “ลิโป้ เฟยเสียง” ตามที่ระบุในสามก๊ก ลิโป้ มาจากเผ่ามองโกล แต่ไม่มีใครรู้ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริง สิ่งเดียวที่รู้คือ พอ ลิโป้ เริ่มจำความได้เขาก็ออกเดินทางทั่วทั้งทวีปยูเรเชีย (ทวีปที่รวมเอาเอเชียและยุโรปไว้ด้วยกัน) เพื่อเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด มีอะไรมาขวางทางก็จะถูกกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะหมาป่า หมียักษ์ หรือคนทั้งกองทัพ ได้เดินทางต่อไปเรื่อยๆจนกระทั้งวันหนึ่ง ก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธจักร มีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้น

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

ในวัย 30 ปี ลิโป้ ก็ได้รู้ว่าในใต้หล้าไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งกว่าเขาอีกแล้ว วันสุดท้ายก็มาถึงหลังเปิดศึกกับ โจโฉ ลิโป้ ได้ผ่ายแพ้ และร้องขอให้ไว้ชีวิตอย่างน่าเวทนา แต่นั้นคือเรื่องโกหกความจริงเสียงที่แปร่งออกมาคือ “เสียงหาว” จากความเบื่อหน่าที่สิ้นหวังหลังจากได้รับรู้ว่าตนนั้นแกร่งที่สุดในใต้หล้า

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

วันนี้ที่ได้มาดวลตัวต่อตัวกับ ธอร์ ในที่สุดก็เจอคนที่คู่ควรจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าสักที ลิโป้ จึงยิ้มแก้มปริอย่างมีความสุข บรุนฮิลล์ พี่สาวคนโต 1 ใน 13 วัลคีรี่ จึงเรียกรวมตัว “วัลคีรี่” ทั้งหมด เพื่อให้วัลคีรี่แปลงกายเป็นเทพศาสตราซึ่งร่างกายของวัลคีรี่สามารถแปลงกายเป็น “เทพศาสตรา” ได้ เรียกว่า “โวลุนถ์” ให้มนุษย์ใช้งานต่อสู้กับเทพ องค์แรกคือ “แรนกริซ” วัลคีรี่ลำดับที่ 4 ที่มีอัตลักษณ์คือ “ทลาย” การป้องกัน

(C)ชินยะ อูเมมูระ / ทากูมิ ฟูกูอิ / อาจิจิกะ

การต่อสู้ก็ดำเนินไปจนกระทั้งบทสรุปของการต่อสู้ก็กำลังเริ่มขึ้นทั้งคู่เข้าห้ำหั่นกันเป็นท่าที่ใช้โดยเอาพลังทั้งหมดที่มี รุนแรงที่สุด และสุดท้ายฝ่ายที่ชนะก็เป็น ธอร์ ด้วยการทุบหัวของ ลิโป้ จนแหลกสลาย หายไปจากร่าง แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ลิโป้ หาได้ขลาดกลัวความตาย กลับมีความสุขกับการต่อสู้ในครั้งนี้ ธอร์ ก็ด้วยเช่นกัน และการต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้เทพรู้สึกเครื่องร้อนไปตามๆกันอีกด้วย




Exit mobile version